ปัญหาโลกแตก Omega 3, 6, 9

ในช่วงที่กระแสการดูแลสุขภาพมาแรง อาหารเสริมตัวหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยคือ กรดไขมันดี อย่าง Omega 3 ที่มากมายสรรพคุณด้านสุขภาพ แต่หลายคนอาจจะงงเมื่อเจอตัวอื่นๆอย่าง Omega 6, Omega 9 หรือบางตัวมัดรวมมาเลย ทั้ง Omega 3, 6, 9 ในเม็ดเดียว แล้วแบบนี้เราต้องเลือกแบบไหนถึงจะดี คุ้มค่าเงิน และได้สุขภาพที่ดีตามต้องการ บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยในการเลือกซื้ออาหารเสริมประเภท Omega fatty acid ได้อย่างถูกต้อง ไม่เสียเงินฟรี และบอกไว้ก่อนว่า ถ้าเลือกผิด อาจจะมีโอกาสได้โทษ มากกว่าคุณ ก็เป็นได้

Omega-3

เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated) ที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential fatty acid) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จึงต้องได้รับจากการกินอาหารต่างๆ

Omega-3 แบ่งได้ 3 ประเภทหลักคือ
  1. Docosahexaenoic acid (DHA)
  2. Eicosapentaenoic acid (EPA)
  3. Alpha-linolenic acid (ALA)

ประโยชน์หลักๆของ Omega-3 คือ ช่วยเรื่องระบบประสาทและสมอง, ลดการอังเสบในร่างกาย, ช่วยเรื่องสุขภาพของข้อต่อต่างๆ, ช่วยฟื้นฟูการสึกหรอของกล้ามเนื้อ, ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน และอาจมีส่วนช่วยในการลดไขมันได้

Omega-6

จัดเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated) ที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential fatty acid) เหมือนกับ Omega-3 ประโยชน์ของ Omega-6 คือช่วยเรื่องสุขภาพของระบบเลือด และหัวใจ, มีส่วนช่วยลดคลอเรสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่ม ตลอเลสเตอรอลดี (HDL) ได้ และมีส่วนช่วยเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

Omega-9

เป็นกรดไขมันอิ่มตัว (Monounsaturated) ที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย (Non-essential fatty acid) หรือเป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง แต่การทานอาหารที่มี Omega-9 สูงเพิ่ม อาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด, ช่วยเรื่องการคุมระดับน้ำตาลในเลือด และ ลดการอักเสบในร่างกายได้

Omega-3 คือตัวเดียวที่คุณต้องมองหา

ึงแม้ว่าทั้ง Omega-3, 6, 9 จะมีประโยชน์ในตัว แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่คุณต้องการจากอาหารเสริม และ บางตัวการได้รับมากไป อาจจะทำให้ส่งผลเสียกับร่างกายได้อีกด้วย

สาเหตุหลักๆ ที่คุณควรเลือกทานแต่ Omega-3 มีดังนี้
  • คนส่วนใหญ่ได้รับ Omega-6 ในปริมาณที่มากเกินพอ
    Omega-6 สามารถหาได้ทั่วไปในอาหารทุกวันนี้ ทั้งในน้ำมันพืช, ไข่, ถั่ว, ผลิตภัณฑ์นม และ เนื้อสัตว์ ฯลฯ ทำให้คนส่วนมากนั้นได้รับ Omega-6 เพียงพอ หรือ มากกว่าที่ร่างกายต้องการในทุกๆวันด้วยซ้ำ จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อได้รับจากอาหารเสริมเพิ่มอีก
  • สัดส่วนที่พอเหมาะ ระหว่าง Omega-3 และ Omega-6
    การได้รับ Omega-6 มากเกินไป ก็อาจจะไม่ดีต่อร่างกาย โดยทั่วไปจะมีสัดส่วนที่แนะนำ ระหว่าง Omega-3 และ Omega-6 อยู่ที่ 1:1 (ควรได้รับในปริมาณพอๆกัน) แต่จากข้อ 1 ทุกวันนี้เราได้ Omega-6 มากเกินพอ แต่ Omega-3 กลับได้รับน้อยเกินไป ทำให้เราอาจได้รับ Omega-6 มากกว่า Omega-3 ถึง 10 - 20 เท่า และหลายคนอาจจะได้รับมากเกินกว่าร่างกายจะจัดการได้ (โดยเฉพาะคนที่ชอบกินของทอด ของผัด และของมันๆ) ปริมาณ Omega-6 ที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิด การอักเสบในร่างกาย, ความดันโลหิตสูง, การเกิดลิ่มเลือด, เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันได้ เพราะฉะนั้น เราไม่ควรเพิ่ม Omega-6 จากอาหารเสริมเข้าไปอีก แต่กลับกัน เราต้องหา Omega-3 เพิ่มเข้าไปจากทั้งอาหารทั่วไป และอาหารเสริม เพื่อลดความห่างของสัดส่วนระหว่าง Omega-3 และ Omega-6 ให้เข้าใกล้ 1:1 มากที่สุด
  • Omega-9 ไม่มีความจำเป็น
    ประเภทของ Omega-9 ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็น Non-essential คือ ไม่จำเป็น เพราะเป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้รับจากอาหารเสริมเลย และมันก็ยังหาได้ทั่วไปในอาหารปัจจุบันอยู่แล้วด้วย การเลือกเพิ่ม Omega-9 ด้วยอาหารเสริมจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และคุ้มค่าซักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ การใส่ Omega-9 ในอาหารเสริม อาจจะแค่เพื่อการโฆษณาเท่านั้น
  • Omega-3 หายาก และราคาแพง
    อาหารที่มี Omega-3 สูงจะเป็นพวกปลาที่มีไขมันมากอย่าง ปลาแมคเคอเรล, ปลาแซลม่อน, ปลาเฮอร์ริ่ง และปลาซาดีน หรือในพืชอย่าง ถั่ววอลนัท น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed Oil) และ เมล็ดเจีย (Chia seed) เป็นต้น แหล่งอาหารที่ยกตัวอย่างมาเห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่อาหารที่เรากินปกติในทุกๆวัน และราคาแต่ละอย่างก็ค่อนข้างแพง ทำให้คนส่วนใหญ่ มีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับ Omega-3 ที่เพียงพอ หรือมากพอให้เกิดผลดีต่อสุขภาพได้ และถ้าคุณเลือกที่จะรับ Omega-3 จากอาหารเสริม แต่ไปเลือกที่เป็น Omega-3, 6, 9 รวมในเม็ดเดียว นอกจากจะเพิ่ม Omega-6 และ Omega-9 ที่เราได้รับมากเกินพออยู่แล้ว ยังลดปริมาณ Omega-3 ที่ควรได้ต่อ 1 เม็ดลงอีกด้วย เพราะฉะนั้น อาหารเสริมที่แนะนำ จะเป็นกลุ่มน้ำมันปลา (Fish Oil) ที่มีปริมาณ EPA และ DHA สูงๆ และไม่มีส่วนผสมของ Omega-6, 9 อยู่ในอาหารเสริมนั้น

สรุปแล้ว คนส่วนมากต้องการ Omega-3 ในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดี และไม่จำเป็นต้องเสริม Omega-6 และ Omega-9 เพิ่มแต่อย่างใด ปรับอาหารการกินให้ดีขึ้น ลดของทอด ของมันให้น้อยลง และเพิ่มการกินปลาทะเลที่มีไขมันดี เพื่อรักษาสมดุลร่างกาย แต่การกินปลาเยอะๆมันยากจนเกินไป ลองหาตัวช่วยอย่าง Vitaxtrong Omefalme X3000 ที่อัดแน่นด้วย Fish Oil 3,000 มิลลิกรัม ให้คุณได้คุณประโยชน์เต็มที่ Omega-3 เพียวๆ ที่มีทั้ง DHA และ EPA สูงๆ กินง่ายไม่คาว คุ้มค่า คุ้มราคา ต้องตัวนี้เลย https://fitwhey.com/product/omeflame-x3000/